ประวัติของโครงการ
เมื่อวนที่ 21 มกราคม 2545
เวลา 12.20 น. สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ
เสด็จพระราชดำเนิน บริเวณ ดอยดำลุ่มน้ำแม่หาด เพื่อการวิจัยพื้นที่โครงการ “
บ้านเล็กในป่าใหญ่” ขึ้นโดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่
แม่ทับที่ภาค 3 ข้าราชการสังกัดกรมป่าไม้
และสังกัดอื่นๆเฝ้ารับเสด็จ พลตรีนคร ศรีเพ็ชรพันธ์ ผู้บัญชาการกองกำลังผาเมือง
กราบบังคมทูลรายงานสถาณการชายแดนไทย-พม่า
นายปฏิสันถาร โรจนกุล
หัวหน้าหน่วยจัดการต้นน้ำแม่หาดกราบบังคมทูลรายงานเกี่ยวกับ สภาพพื้นที่
และการจัดการต้นน้ำของหน่วยงาน นายเกียรติศักดิ์ สุขวัฒน์
ผู้อำนวยการสำนักงานกิจกรรมพิเศษกรมชลปทาน กราบทูลถวายรายงานเกี่ยวกับการจัดหาน้ำ
ภาพที่ 1
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
ทรงมีกระแสพระราชดำรัสเกี่ยวกับโครงการ “บ้านเล็กในป่าใหญ่”
ที่จะจัดตั้งขึ้นความว่า พระองค์เป็นห่วงสถานการชายแดนไทย - พม่า
บริเวณดอยดำที่ยังไม่มีคนเข้าไปอยู่อาศัย
ทำให้มีความสะดวกต่อการเข้าออกของคนต่างด้าว และเป็นเส้นทางลำเลียงยาเสพติด
รวมทั้งสิ่งที่ผิดกฎหมายต่างๆซึ่งมีผลกระทบต่อความมั่นคงและความสงบสุขของประชาชน
จึงมีพระราชดำริที่จะจัดตั้งหมู่บ้านในที่ชื่อ “โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่”
ขึ้น โดยให้ชาวบ้านในโครงการ
มีหน้าที่ดูแลป่าและบริเวณนี้และไกล้เคียง พร้อมทั้งเป็นเส้นตะเข็บชายแดนด้วย
นายสหัส บุญญาวิวัฒน์ผู้ช่วยเลขาธิการพระบรมราชวังฯ
ฝ่ายกิจกรรมพิเศษได้ถวายรายงานขออนุญาติใช้พื้นที่ต่ออธิบดีกรมป่าไม้
แต่พื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง
จะต้องดำเนินการในลักษณะโครงการการทดลองทางวิชาการ
อธิบดีกรมป่าไม้จึงอนุมัติใช้พื้นที่ดังกล่าวตาม มาตรา 29 แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ
วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2545 อธิบดีกรมป่าไม้ได้เรียกประชุมเจ้าหน้าที่ๆเกี่ยวข้อง
เพื่อการเร่งรัดการดำเนินการโครงการ “ บ้านเล็กในป่าใหญ่ดอยดำ
ตามพระราชดำริ ” โดยฝ่ายสำนักกรมป่าไม้เขตเชียงใหม่
(สำนักบริหารจัดการในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ในปัจจุบัน)
ผู้อำนวยการโครงการขออนุญาตใช้พื้นที่ต่อสำนักงานป่าไม้เขตเชียงใหม่
ได้มีหนังสือจากสำนักงานเขตเชียงใหม่ ด่วนที่สุด ที่ กษ.0723.7/ 1893 ลงวันที่ 17 มิถุนายน 2545 ให้ใช้พื้นที่ลุ่มน้ำแม่หาดทั้งหมด
16,850 ไร่ เป็นพื้นที่ดำเนินการโครงการฯ
พร้อมทั้งยังขออนุญาตแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานและต่อมากรมป่าไม้ออกคำสั่งกรมป่าไม้ที่
1961/2545 ลงวันที่ 23 กันยายน 2545
เรื่องแต่งตั้งคณะทำงานโครงการให้คนอยู่กับป่าอย่างยั่งยืนในลักษณะ “
โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ ตามพระราชดำริ”
พระบาทสมเด็จพราะเจ้าอยู่หัว
มีรับสั่งกับผู้เข้าเฝ้าฯ ราวร้อยคน ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
ว่าโครงการหลวงเกิดขึ้นเพราะท่านไปเที่ยว”
ราวปีพุทธศักราช 2507 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
ทรงใช้เวลาในช่วงฤดูหนาว เสด็จแปรพระราชฐานไป จังหวัดเชียงใหม่
ทอดพระเนตรชีวิตของชาวบ้านบนดอยชาวไทยภูเขาในภาคเหนือประกอบอาชีพปลูกข้าวเพื่อบริโภคควบคู่กับการปลูกฝิ่น
ซึ่งสร้างปัญหาการทำลายป่าไม้จากการทำไร่เลื่อนลอย และที่สำคัญคือปัญหายาเสพติดที่แพร่หลายจากชุมชนชนบทไปสู่เมืองและกลายเป็นปัญหาที่สำคัญของประเทศในยุคนั้น
จากพระราชดำริที่ว่า “ถ้าจะให้ชาวเขาเลิกปลูกฝิ่นก็ต้องหาพืชอื่นที่ขายได้ราคาดีกว่า
และมีความเหมาะสมจะปลูกในที่สูง มาให้ชาวเขาปลูกทดแทน” จึงเป็นที่มาในการริเริ่ม
“โครงการหลวงพระบรมราชานุเคราะห์ชาวเขา” ในปี 2512 โดยทรงมอบหมายให้ หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี
เป็นประธานอำนวยการโครงการหลวงฯ การดำเนินการในระยะแรกของโครงการหลวงฯ
นั้นได้รับความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ซึ่งให้ความช่วยเหลือในเรื่องการศึกษาวิจัยหาพืชที่เหมาะสมต่อสภาพอากาศในพื้นที่
นอกจากนั้น ยังมีหน่วยงานราชการอื่นๆ อีกหลายแห่ง
ที่เต็มใจเข้ามาร่วมถวายงานอย่างไม่ย่อท้อ รวมถึงความร่วมมือจากต่างประเทศ
โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน)
ที่ให้เงินสนับสนุนโครงการหลวงฯ ตั้งแต่ปี 2516 จนถึงปัจจุบัน
โรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูปที่
1
- อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่
จากดำเนินการของโครงการหลวงฯ ในการให้ความรู้
และความเข้าใจเกี่ยวกับการเพาะปลูกพืชเมืองหนาวประสบความสำเร็จราษฎรชาวไทยภูเขาหันมาปลูกพืชทดแทนฝิ่นมากขึ้น
จึงทำให้เกิดความต้องการตลาดรับซื้อผลผลิต ผัก ผลไม้สดให้ทันเวลาการเก็บเกี่ยว
ดังนั้น เพื่อตัดปัญหาการโก่งราคาผลผลิตจากพ่อค้าคนกลาง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ จัดตั้งเป็น
กลุ่มสหกรณ์ชาวเขา เพื่อรับซื้อผลผลิตสดจากราษฎรโดยตรง
และมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ ศาสตราจารย์อมร ภูมิรัตน
ผู้อำนวยการสถาบันค้นคว้า และพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ในขณะนั้น
เป็นผู้ดำเนินการจัดตั้งโรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูปแห่งแรก ขึ้นที่หมู่บ้านบ้านยาง
ตำบลแม่งอน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ เริ่มดำเนินการเมื่อ วันที่ 15 พฤศจิกายน
พ.ศ. 2515 เป็นต้นมา
สาเหตุที่เลือกพื้นที่นี้สร้างโรงงานขึ้นก็เนื่องจากทำเลที่ตั้งอยู่ในศูนย์กลางของพื้นที่
ที่ได้รับการส่งเสริมจากโครงการหลวงในจังหวัดเชียงใหม่
โรงงานฯได้สร้างขึ้นด้วยทุนแรกเริ่มเก้าแสนกว่าบาท (ประมาณ 36,000 เหรียญสหรัฐ)
ซึ่งส่วนใหญ่มาจากทุนทรัพย์ส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และจากการช่วยเหลือบางส่วนจากองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ
มีการติดตั้งเครื่องจักรผลิตอาหารกระป๋องอย่างสมบูรณ์แบบ
ตั้งแต่ระบบการเตรียมวัตถุดิบ การฆ่าเชื้อ และระบบไอน้ำ*
(*องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติได้เข้ามาให้ความช่วยเหลือในระยะเริ่มแรกเท่านั้น)
จากนั้นการดำเนินงานได้เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้การบริหารของ ศาสตราจารย์ อมร
ภูมิรัตน์ ควบคู่ไปกับการขยายตัวของโครงการหลวง ในปีต่อ ๆ มา โรงงานฯ
ไม่เพียงแต่รับซื้อผลิตผลจากเกษตรกรชาวเขาที่ร่วมอยู่ในโครงการหลวง แต่ยังขยายการส่งเสริมการปลูกพืชผักไปยังเกษตรกรที่อยู่ในพื้นที่รอบ
ๆ ใกล้เคียงอีกด้วย
โดยการจ้างเกษตรกรรายเล็กทำการเกษตร ซึ่งได้รับความสำเร็จเป็นอย่างดี
เป็นการเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรและยังเป็นการช่วยป้อนวัตถุดิบให้กับโรงงานฯ
เพื่อให้เพียงพอกับปริมาณการผลิตอีกด้วย ปัจจุบันการส่งเสริมการปลูกผักผลไม้ได้กลายเป็นงานหลักของโรงงานฯ
ขณะเดียวกับที่วัตถุประสงค์ของโรงงานฯ
ได้ขยายจากการช่วยเหลือชาวเขาในการพัฒนาการทำไร่ขนาดเล็กไปสู่การแนะนำการปลูกพืชในระบบเกษตรอุตสาหกรรมซึ่งเป็นวิธีหนึ่งในการพัฒนาชนบท
โรงงานฯที่อำเภอฝางนี้ ครอบคลุมการปฏิบัติงานในอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่
และอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ของโรงงานฯ มี ลำไยในน้ำเชื่อม, ลิ้นจี่ในน้ำเชื่อม,
มะเขือเทศอบแห้ง, สตรอเบอร์รี่อบแห้ง, น้ำดื่มดอยคำ
ต่อมาในช่วงวันที่ 8 ตุลาคม 2549 ได้เกิดเหตุการณ์น้ำป่าไหลถล่ม
เข้าท่วมบ้านเรือนราษฎร ส่งผลให้เกิดความเสียหายในพื้นที่บ้านยาง ตำบลแม่งอน อ.ฝาง
จ.เชียงใหม่
เหตุการณ์ครั้งนั้นนอกจากสร้างความเสียหายให้กับบ้านเรือนพื้นที่สวนไร่นาของชาวบ้านแล้ว
ยังทำให้โรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูปของดอยคำได้รับความเสียหายไปด้วย การนี้สำนักงานทรัพย์สินสวนพระมหากษัตริย์จึงมีโครงการ
พลิกฟื้นโรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูปให้กลับมาเหมือนเดิม และยังเพิ่มเติมการ
ก่อสร้างพิพิธภัณฑ์โรงงานหลวงที่ 1 (ฝาง) บนพื้นที่เดิม
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนผู้สนใจทั่วไป นักเรียน นิสิต นักศึกษา
รวมถึงนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างประเทศ
ได้ระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ที่ทรงมีต่อพสกนิกรของพระองค์ ทั้งนี้พิพิธภัณฑ์โรงงานหลวงที่ 1 (ฝาง) จะเปิดให้บริการในเดือนมกราคม 2552
โรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูปที่ 2 - อำเภอแม่จัน
จังหวัดเชียงราย
ภาพที่ 2
หลังจากการก่อตั้งโรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูปแห่งแรกที่อำเภอฝาง
จังหวัดเชียงใหม่แล้ว
ในระยะเวลาใกล้เคียงกันได้มีการสร้างโรงงานอีกแห่งขึ้นในพื้นที่การดำเนินงานของโครงการหลวงในจังหวัดเชียงราย
โดยคงวัตถุประสงค์เดียวกับที่จัดตั้งโรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูปที่ 1 ซึ่งพื้นที่ที่ได้รับการพิจารณาเลือกสร้างโรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูปที่
2 ตั้งอยู่ที่ทางหลวงหมายเลข 1 ที่หมู่บ้านป่าห้า
ตำบลป่าซาง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม
2516 โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานทุนทรัพย์ส่วนพระองค์เป็นทุนประเดิมจำนวน
100,000 บาท เป็นทุนหมุนเวียน โรงงานที่ 2 นี้ได้รับการติดตั้งเครื่องจักรระบบเดียวกับที่อำเภอฝาง
โดยรับซื้อและแปรรูปผลิตผลการเกษตรที่ได้จากชาวเขาในพื้นที่เดียวกันนี้*
(*โรงงานที่แม่จันได้รับความช่วยเหลือบางส่วนจากโครงการความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างอาเซียนและออสเตรเลีย)
เกษตรกรชาวเขาเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนจากโครงการหลวงให้ปลูกผักและผลไม้ของโครงการ
เพื่อเป็นการช่วยรักษาระดับราคาของพืชผล
ซึ่งแต่ก่อนถูกกำหนดโดยพ่อค้าคนกลางจากในเมืองที่อำเภอแม่จันนอกจากทรงพระราชทานโรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูปนี้แล้ว
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานสำนักงานสหกรณ์การเกษตร ศูนย์โภชนาการเด็ก
และสถานีอนามัย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาชุมชนแบบวงกว้าง
ที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่
โรงงานฯที่อำเภอแม่จันนี้ดำเนินงานในลักษณะเดียวกันกับโรงงานฯที่อำเภอฝาง
การดำเนินงานครอบคลุมพื้นที่ในอำเภอแม่จัน อำเภอแม่สาย อำเภอเชียงแสน
และอำเภอเมือง ของจังหวัดเชียงราย สินค้าแปรรูปในปัจจุบัน ได้แก่
น้ำผลไม้พร้อมดื่ม, ผลไม้แช่แข็ง, แยมผลไม้,
น้ำผลไม้เข้มข้น เป็นต้น
โรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูปที่
3 -
อำเภอเต่างอย จังหวัดสกลนคร
ภาพที่ 3
ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2523 ระหว่างแปรพระราชฐานไปยัง
พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ได้เสด็จเยี่ยมราษฎรในพื้นที่หมู่บ้านนางอย – โพนปลาไหล
กิ่งอำเภอเต่างอย จังหวัดสกลนคร ทอดพระเนตร ความเป็นอยู่ที่แร้นแค้นของราษฏร
และต้องการความช่วยเหลืออย่างมาก อีกทั้งปัญหาภัยคุกคามจากคอมมิวนิสต์ในช่วงนั้น
จึงมีพระราชดำริให้ปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ของราษฏรในเขตพื้นที่และอำเภอใกล้เคียง
โดยส่งเสริมความรู้ และให้กู้ยืมเงินทุนซื้อเมล็ดพันธุ์กับเกษตรกร
เพื่อเพาะปลูกมะเขือเทศ
ซึ่งเป็นพืชชนิดเดียวที่เหมาะสมและสามารถขึ้นได้ดีในพื้นที่ และพัฒนาคุณภาพชีวิต
สังคมให้ดีขึ้น ศาสตราจารย์อมร ภูมิรัตน รับใส่เกล้าฯ และขอพระราชทานเฝ้าฯ
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เพื่อดำเนินการตามพระราชดำริ
โรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูปที่ 3 ที่กิ่งอำเภอ จังหวัดสกลนคร
จึงเกิดขึ้น (ปัจจุบัน ปรับเป็นอำเภอเต่างอย) เพื่อช่วยเหลือราษฎรในแบบเดียวกัน การดำเนินงานของโรงงานฯ นี้
มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างรายได้และยกระดับความเป็นอยู่ของชาวบ้านให้ดีขึ้นรวมถึงสร้างช่องทางเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนโดยประชาชนในท้องถิ่น
โรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูปที่
4 -
อำเภอละหานทราย จังหวัดบุรีรัมย์
ภาพที่ 4
ระหว่างปี พ.ศ. 2521 ถึง ปี พ.ศ. 2524 ได้มีภัยคุกคามจากขบวนการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศบริเวณแนวชายแดนไทย -
กัมพูชา โดยความช่วยเหลือจากกองทัพคอมมิวนิสต์เขมร และ เวียตนาม
ทำให้มีทหารไทยล้มตายและบาดเจ็บจากการต่อสู้เพื่อต่อต้านการแทรกแซงของคอมมิวนิสต์นี้
ในหลายพื้นที่ตามแนวชายแดน อำเภอละหานทรายในจังหวัดบุรีรัมย์เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่
มีการต่อสู้กันอย่างหนัก ในหลายครั้งที่มีการต่อสู้ ในเขตบ้านโนนดินแดง
ชาวบ้านในพื้นที่จำเป็นต้องอพยพลี้ภัยไปอยู่ในค่ายพักชั่วคราว
และในที่ที่ปลอดภัยรอบๆหมู่บ้านโนนดินแดง
สถานการณ์เช่นนี้ทำให้ชาวบ้านและผู้อพยพจากภัยสงความมีความเป็นอยู่ที่แร้นแค้น
ด้วยทรงมีความห่วงใยต่อปัญหาในพื้นที่นี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงมีพระราชดำรัสให้รัฐบาลจัดตั้งโครงการพัฒนาครั้งใหญ่
ครอบคลุมถึง 40 หมู่บ้านในเขตพื้นที่นั้น
ซึ่งรวมหมู่บ้านที่มีอยู่แล้ว 26 หมู่บ้าน และอีก 14 หมู่บ้านที่ชาวบ้านอพยพไปจัดตั้งใหม่ โดยจัดหาที่ดินทำกินให้แก่ชาวบ้าน
จัดตั้งหมู่บ้านใหม่ พัฒนาแหล่งน้ำ และพัฒนาสังคม
นอกจากจะเข้าร่วมอยู่ในโครงการใหญ่นี้แล้ว ศาสตราจารย์ อมร ภูมิรัตน์
ยังได้ดำเนินการตามพระราชดำริในพื้นที่นี้ แบบเดียวกับที่ปฏิบัติที่อำเภอเต่างอย
จังหวัดสกลนคร โรงงานแห่งที่ 4 ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นและเริ่มดำเนินงานได้ในปี
พ.ศ. 2526 โดยรับซื้อและแปรรูปผลิตผลการเกษตรจากเกษตรกรที่ร่วมอยู่ในโครงการพืชผลเมืองหนาวจากภาคเหนือ
เป็นผลผลิตใหม่สำหรับเมืองไทยในสมัยนั้น หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี
จึงทรงคิดตราสัญลักษณ์ “ดอยคำ” ขึ้นใช้กับผลิตผลทุกชนิดของโครงการหลวงฯ
รวมทั้งให้ความเชื่อถือว่า ตราดอยคำเป็นสินค้าที่มีคุณภาพด้วยการคัดเกรด
และเป็นสินค้าที่สด สะอาด ปลอดภัยสำหรับผู้บริโภคในปี 2535 โครงการหลวงได้เปลี่ยนสถานภาพจดทะเบียนเป็น
“มูลนิธิโครงการหลวง” เพื่อให้เป็นองค์กรนิติบุคคล
โดยมีหม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี ดำรงตำแหน่งเป็นประธานกรรมการ
ดำเนินการเพื่อสาธารณประโยชน์ และจัดตั้ง บริษัท ดอยคำผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด
เป็นนิติบุคคล ในปี 2537 มีสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์และมูลนิธิโครงการหลวงเป็นผู้ถือหุ้น
เปิดดำเนินกิจการในเชิงธุรกิจ เพื่อรับซื้อผลผลิตทางการเกษตร จากมูลนิธิฯ
และเกษตรกรในพื้นที่ ด้วยราคาที่เป็นธรรม นำมาผลิต และ
จัดจำหน่ายเป็นผลิตภัณฑ์แปรรูปภายใต้ตราสัญลักษณ์ “ดอยคำ”
ในช่วงแรกนี้ บริษัทฯ
เป็นผู้ริเริ่มและบุกเบิกตลาดข้าวโพดฝักอ่อนของไทยในต่างประเทศ
และรายได้จากการส่งออกผักผลไม้แปรรูปถือเป็นรายได้ที่สำคัญของบริษัทฯ
ภาพที่ 5
ต่อมาในปี 2543 บริษัทฯ
ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ และอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา
จึงส่งผลให้ต้องปิดกิจการโรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูปที่ 4 จังหวัดบุรีรัมย์
ด้วยเป็นแหล่งที่มีพืชเพาะปลูกเข้าโรงงานน้อย และมีการผลิตน้อยที่สุด
ปัจจุบันจึงมีโรงงานหลวงฯ ดำเนินกิจการเพียง 3 แห่ง เท่านั้นปี
2545 บริษัทฯ
ปรับปรุงภาพลักษณ์ของสินค้าใหม่ปรับเปลี่ยนตราสินค้าให้ทันสมัย
โดยคงสัญลักษณ์พระราชทานไว้ด้านบนตัวอักษรดอยคำ นอกจากนี้
มีการปรับปรุงเครื่องจักรแบบบรรจุภัณฑ์ที่ทันสมัยมากขึ้น
และขยายตลาดภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้คนไทยได้บริโภคสินค้าที่มีคุณภาพ
และยึดมั่นใน พระราชปณิธานที่ต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทยให้ดีขึ้น
ที่มา www.doikham.co.th